วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Samsung Galaxy S10 จะย้ายตัวสแกนลายนิ้วมือมาไว้บนจอแสดงผล และมีระบบจดจำใบหน้า


มีรายงานข่าวมาจาก The Bell สื่อชื่อดังของเกาหลีว่า เรือธงรุ่นใหม่ของ Samsung อย่าง Galaxy S10 นั้น จะมีตัวสแกนลายนิ้วมืออยู่บนหน้าจอแสดงผล (In-display fingerprint) รวมทั้งระบบจดจำใบหน้า (3D Facial recognition)
ด้วยเหตุที่ว่า บริษัท Samsung ไม่ได้มีการติดต่อกับซัพพลายเออร์ในการจัดหาเครื่องสแกนม่านตา (Iris scanners) จึงทำให้เข้าใจได้ว่า Samsung จะนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้บน Galaxy S10 แทน โดยร่วมมือกับ Mantis Vision ในการพัฒนาอัลกอริทึมสำหรับการจดจำใบหน้าแบบ 3 มิติ
ก็เป็นอะไรที่สอดคล้องกันดี กับกรณีที่ Apple ได้เปิดตัวระบบดังกล่าวไปในปีที่ผ่านมาบน iPhone X ซึ่ง Samsung เองก็คงต้องรีบตาม Apple ให้ทันในจุดนี้
ขณะที่เครื่องสแกนลายนิ้วมือเอง ก็จะมีการย้ายจากจุดเดิมที่อยู่ตรงบริเวณด้านหลังตัวเครื่อง มาไว้บนหน้าจอแสดงผลแทน ซึ่งมันจะทำให้การปลดล็อกมือถือทำได้สะดวกกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะผู้ใช้ที่มือเล็กหรือถนัดซ้าย การต้องสแกนนิ้วมือจากด้านหลังตัวเครื่องมันช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่า Samsung Galaxy S10 นั้นจะมีหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ส่วนใน Galaxy S10 Plus จะอยู่ที่ 6.2 นิ้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับขนาดของ S9 และ S9 Plus ในปัจจุบัน
ในขณะที่บางสื่อกลับบอกว่า Galaxy S10 นั้นจะแบ่งเป็น 3 โมเดล คือ ขนาด 5.8 นิ้ว 2 รุ่น และขนาด 6.2 นิ้ว อีก 1 รุ่น โดยแต่ละโมเดลจะแตกต่างกันที่จำนวนกล้องหลัง ซึ่งจะมีตั้งแต่ 1 และ 2 ตัว ในรุ่นขนาด 5.8 นิ้ว และกล้อง 3 ตัว ในรุ่นขนาด 6.2 นิ้ว (ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ)
ที่มา โลกไอที

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

นักอนาคตศาสตร์เชื่อ ใน 30 ปี เทคโนโลยีจะช่วยให้คนมีชีวิต “อมตะ”




เชื่อกันว่าภายใน ทศวรรษ เทคโนโลยีล้ำสมัยจะช่วยให้คนที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2513 มีชีวิต อมตะ
ความคิดนี้มาจากการคาดคะเนของดร. Ian Pearson นักอนาคตศาสตร์ (futurologist) ระดับแนวหน้า “ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีเชื่อได้ว่าคนที่มีชีวิตอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2593 อาจมีชีวิตที่เป็นอมตะ”
ดร. Pearson อ้างถึงเทคโนโลยีหลายอย่างที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ ซึ่งรวมถึงพันธุวิศวกรรมที่จะช่วยคืนความเป็นหนุ่มสาวให้กับเซลล์ในร่างกายและไบโอเทคโนโลยีที่จะช่วยสร้างอวัยวะใหม่ขึ้นมาทดแทนอวัยวะที่เสื่อมสภาพไป “ไม่มีใครอยากเป็นอมตะในสภาพของคนอายุ 80-90 หรอก ถ้าทำได้ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองเหมือนเมื่อตอนอายุ 20-30 ด้วยกันทั้งนั้น”
ดร. Pearson ยังมองว่าชีวิตที่ไม่มีวันตายอาจไม่ได้หมายถึงการยึดติดกับร่างกายเดิม “ถ้าอุปสรรคของชีวิตอมตะคือร่างกายที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ต่อไปอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถอัปโหลดจิตสำนึกไปเก็บไว้ใน “clound” จากนั้นก็ดาวน์โหลดใส่แอนดรอยด์หรือหุ่นยนต์เหมือนคนแบบไหนที่ไหนก็ได้ทั่วโลก หมายความว่าแม้สังขารจะร่วงโรยไปแต่จิตสำนึกของเราจะยังคงอยู่ตลอดไป “ถึงตอนนั้นคุณอาจเลือกหุ่นยนต์ที่ดูอายุเท่าไหร่ก็ได้ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้”
ดร. Pearson เชื่อว่าเทคโนโลยีทั้งหลายทั้งปวงเพื่อชีวิตที่เป็นอมตะนี้เกิดได้ภายในปี 2593 หรืออีกประมาณ 30 ปี “ถ้าคุณเกิดหลังปี 2513 ปีนี้คุณอายุ 48 คนที่อายุไม่ถึง 50 ถือว่ายังมีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีนี้ หรือก็คือมีโอกาสจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ ส่วนคนที่ตอนนี้ยังอายุไม่ถึง 40 คุณได้รับโอกาสนั้นแน่นอน” ในช่วงแรกค่าใช้จ่ายจะต้องสูงมากแน่ ๆ ซึ่งจะมีเพียงมหาเศรษฐีเท่านั้นที่เอื้อมถึง แต่ให้หลังประมาณ 10 ปี ชนชั้นกลางทั่วไปก็น่าจะเข้าถึงได้

ที่มาsanook

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ที่มา www.beartai.com

Instagram เตรียมปล่อยฟีเจอร์ใหม่โพสต์คลิปวิดีโอได้ยาวถึง 60 นาที!



สำนักข่าว Wall Street Journal รายงานว่า Instagram มีแผนที่จะเพิ่มคุณสมบัติใหม่คือผู้ใช้สามารถอัปโหลดคลิปวิดีโอได้ยาวนานขึ้นเป็น 1 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการโฟกัสไปที่คอนเทนต์วิดีโอมากขึ้นในรูปแบบเดียวกับแพลตฟอร์มอย่าง YouTube หรือแม้แต่บน Facebook เอง
ที่น่าสนใจก็คือ Instagram มีฐานผู้ใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น โดยปัจจุบันมีสถิติของ active user สูงถึง 800,000 บัญชีต่อวัน เพิ่มขึ้นจากในเดือนพฤศจิกายนที่ในเวลานั้นมี active user ที่ 300,000 บัญชี นั่นทำให้แพลตฟอร์มดังกล่าวกลายเป็นทางหนึ่งในทางเลือกใหม่ในอนาคตของบรรดาครีเอเตอร์หรือผู้ผลิตคอนเทนต์เช่นกัน
สำหรับปัจจุบัน Instagram สามารถอัปโหลดคลิปวิดีโอใน Stories ได้สูงสุด 15 วินาที ขณะที่วิดีโอบนหน้าฟีดนั้นสามารถอัปโหลดได้ยาวสุด 1 นาที ซึ่งหากมีการเพิ่มศักยภาพให้อัปโหลดวิดีโอได้ถึง 1 ชม. จริงตามข่าวก็ถือว่าไอจีจะกลายเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอที่น่าสนใจมากอีกแพลตฟอร์มหนึ่งไม่แพ้ YouTube เลย

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ที่มา www.beartai.com

ผลสำรวจล่าสุดเผยเด็กวัยรุ่นไม่นิยมเล่น Facebook แล้ว

ถือเป็นข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยเมื่อมีผลสำรวจจาก Pew Research Center เปิดเผยว่า กลุ่มวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกา เล่น Facebook กันน้อยลงเหลือเพียง 51% ซึ่งถือว่าลดลงจากปี 2015 ถึง 20% โดยหันไปหา YouTube, Instagram และ Snapchat ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยทีนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวได้ทำการเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 13-17 ปี ในสหรัฐอเมริกาจำนวนกว่า 750 คนที่มีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง ซึ่งปรากฏว่า YouTube ได้รับความนิยมจากเด็กในวัยนี้สูงสุดมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 85% ตามด้วย Instagram และ Snapchat ที่ 72% และ 69%
นอกจากนี้ยังมีการสรุปแนวโน้มที่น่าสนใจจากการวิเคราะห์ผลสำรวจออกมาว่า รายได้และคุณภาพชีวิตของกลุ่มวัยรุ่นมีความเชื่อมโยงกับการเลือกใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นในอเมริกาที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะใช้ Facebook มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นที่มีรายได้สูง เป็นต้น