วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

'สมาร์ทโฟน' เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความใกล้ชิดให้กับผู้คน หรือทำลายตัวตนของมนุษย์จนหมดสิ้น?

'สมาร์ทโฟน' เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความใกล้ชิดให้กับผู้คน หรือทำลายตัวตนของมนุษย์จนหมดสิ้น?


นับตั้งแต่การเข้ามาของนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัวอย่าง "สมาร์ทโฟนก็ทำให้วิถีชีวิตของมนุษย์ทั่วโลกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลมหาศาลอย่างอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา, สามารถเชื่อมต่อกับผู้คนทั่วโลกได้เพียงปลายนิ้วด้วยโซเชียลมีเดีย รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้สมาร์ทโฟนสามารถใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่านวัตกรรมแห่งความทันสมัย และไฮเทคนี้จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนบางกลุ่มในด้านลบ และอาจทำให้เขาเหล่านั้นมีความคิดที่จะจบชีวิตตัวเองเพิ่มมากขึ้นด้วย
1

Jean M. Twenge คอลัมน์นิสต์สาวรายหนึ่งแห่งนิตยสาร The Atlantic ได้เขียนบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของวัยรุ่นในยุคนี้ว่า ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุคของสมาร์ทโฟนเป็นต้นมา วัยรุ่นหลายๆ คนทั่วโลกต่างทนทุกข์ทรมานกับการเป็นโรคซึมเศร้า และมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง โดย Twenge ตั้งกลุ่มตัวอย่างว่า วัยรุ่นที่เกิดในช่วงปี ค.ศ. 1995 - 2012 จะอยู่ในกรุ๊ป iGen (เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาเอง) ซึ่งผู้คนที่เกิดในช่วงนี้จะเป็นรุ่นที่เติบโตมากับเทคโนโลยีในยุคที่พัฒนาแล้ว และมีชีวิตกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ซึ่งคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนยุค Millennials โดยมีตัวแปรสำคัญมาจากการใช้งานสมาร์ทโฟน

Twenge ตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งจากการที่คนในยุค iGen เป็นโรคซึมเศร้า และรู้สึกไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตนอกโลกออนไลน์ก็คือ พวกเขาเหล่านั้นเชื่อมต่อกับเพื่อนๆ และคนรู้จักผ่านทางโซเชียลมีเดีย และคอยติดตามอัปเดตเรื่องราวต่างๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน ซึ่งการใช้งานสมาร์ทโฟนที่เพิ่มมากขึ้นจากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นหลายชั่วโมง หรือมีแม้กระทั่งผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนตลอดทั้งวัน ก็ทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านทางโลกออนไลน์มีค่ามากกว่าการคุยกันในชีวิตจริง และเริ่มห่างเหินจากตัวตนในโลกแห่งความจริงมากขึ้น แต่กลับสร้างตัวตนของตัวเองให้ดูมีความสำคัญ (ทั้งในสายตาตัวเอง และสายตาผู้อื่น) พร้อมทั้งอัปเดตเรื่องราวต่างๆ บนโลกออนไลน์แทน
 
2

เด็กหญิงอายุ 13 ปี รายหนึ่ง ชื่อว่า Athena (นามสมมติ) ได้พูดคุยกับ Twenge ว่า ตัวเธอเองมีสมาร์ทโฟนไว้ในครอบครองตั้งแต่อายุ 11 ปี และเป็นเด็กคนหนึ่งที่ค่อนข้างติดสมาร์ทโฟนมากพอสมควร ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า เธอเคยเห็นเพื่อนๆ ของเธอเดินเที่ยวเล่นอยู่กับครอบครัว แต่เพื่อนๆ เหล่านั้นไม่คุยกับพ่อแม่ของตัวเองเอาแต่จ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนตลอดเวลา หากมีบทสนทนาเกิดขึ้นก็จะเป็นการถามคำตอบคำเท่านั้น ซึ่งตัว Athena เองก็เป็นแบบเดียวกัน เธอบอกว่าในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน เธอใช้เวลาคุยกับเพื่อนตลอดทั้งช่วงปิดเทอมแต่เป็นการคุยผ่านแชท หรือ Snapchat เกือบทั้งหมด และใช้ชีวิตอยู่บนเตียงนอนเพียงอย่างเดียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับคนในยุคนี้เช่นกันที่เราพูดคุยกับคนอื่นผ่านการแชท หรือ texting กันเกือบทั้งวัน แต่กลับพบว่าเราไม่อยากคุยกับคนอื่นแบบตัวเป็นๆ
 
3
นอกจากนี้ ในบทความดังกล่าวยังมีการยกตัวอย่างสถิติที่น่าสนใจมาเพิ่มเติมด้วย โดยเนื้อหาระบุว่าในกลุ่มตัวอย่างเด็กเกรด 8 (เทียบเท่าม.2) ที่ใช้งานสมาร์ทโฟน และโซเชียลมีเดียมากกว่า 10 ชม./สัปดาห์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดความรู้สึกไม่มีความสุขมากกว่าคนที่ใช้งานน้อยกว่าถึง 56 เท่า ขณะที่คนที่ใช้งานประมาณ 6-9 ชม./สัปดาห์ มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่ใช้น้อยกว่าประมาณ 47% แต่ในกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เวลาประมาณเดียวกันทำกิจกรรมกับเพื่อน หรืออยู่กับเพื่อนแทนสมาร์ทโฟน ความเสี่ยงที่จะไม่มีความสุขกลับลดลงมากถึง 20% ซึ่งสถิตินี้ยังไม่รวมถึงการกลั่นแกล้งกันทางอินเทอร์เน็ต หรือ Cyber Bullying ที่นับเป็นประเด็นสำคัญที่เด็กๆ และวัยรุ่นหลายๆ คนกำลังประสบพบเจอในทั่วทุกมุมโลก โดยบางคนอาจอดทน และผ่านพ้นมันไปได้ แต่สำหรับบางคนเรื่องดังกล่าวอาจมีความร้ายแรง และส่งผลให้ต้องจบชีวิตตนเองจากปัญหาก็มีเช่นเดียวกัน
 
4
เรื่องราวของผู้คนใน "สังคมก้มหน้า" ยังคงมีให้พบเห็นทั่วไป เช่น คู่รักบางคู่ที่กำลังนั่งรอดินเนอร์ก็กลับหยิบมือถือขึ้นมาอัปเดตข่าวสารต่างๆ นานา แต่ไม่มีใครคุยกัน หรือพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยการเอาสมาร์ทโฟนให้ลูกเล่น จนทำให้เด็กกลายเป็นคนก้าวร้าวเมื่อไม่ได้เล่นเกมบนสมาร์ทโฟนก็มี
ซึ่งก็น่าแปลกใจว่า ทำไมเทคโนโลยีที่ทำให้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น กลับเป็นสิ่งที่ทำให้คนเหินห่างกันได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็อยากแนะนำว่า จริงอยู่ที่บางครั้งโลกอินเทอร์เน็ตสามารถทำให้เราได้สัมผัสกับโลกกว้างอย่างไร้ขอบเขต แต่เราลืมไปหรือไม่ว่า เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีอากาศหายใจ มีพื้นดินให้ยืน และมีสิ่งอื่นๆ ให้สัมผัสมากมาย เราไม่สามารถอิ่มท้องได้ด้วยการเลื่อนฟีด Facebook และเราไม่สามารถเบิร์นแคลลอรี่ได้ด้วยการดูคลิปออกกำลังกายบนยูทูป ดังนั้น จงหันมาใส่ใจตัวเอง และคนรอบข้างให้มากขึ้น ดีกว่าจ้องโลกสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้นนานๆ นะครับ สำหรับใครที่อยากอ่านบทความฉบับเต็มก็สามารถติดตามได้ที่ลิงก์ด้านล่างครับ

เทคโนโลยีรถยนต์สมัยใหม่ อันตรายที่แฝงมากับความสะดวกสบายใกล้ตัว

เทคโนโลยีรถยนต์สมัยใหม่ อันตรายที่แฝงมากับความสะดวกสบายใกล้ตัว


ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยชี้ว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ในรถยนต์อาจเป็นอันตรายเพราะทำให้เสียสมาธิ
ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์พยายามเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านความปลอดภัยในรถยนต์ เช่น การเตือนเรื่องจุดบอด กล้องแสดงภาพขณะรถถอยหลัง และระบบเตือนภัยหากมีสิ่งใดกีดขวางหรือวิ่งตัดขณะถอยรถ
แต่เทคโนโลยีด้านอื่นสำหรับเพิ่มความสะดวกสบายของผู้ขับขี่รถยนต์ เช่น ระบบจอสัมผัส การควบคุมด้วยเสียง และอุปกรณ์ที่ช่วยเชื่อมต่อกับ social media ในรถยนต์ อาจสร้างอันตรายขึ้นได้
โดยผลการศึกษาของสมาคมรถยนต์อเมริกันหรือ AA แสดงว่า การที่ผู้ขับรถละสายตาหรือละมือจากพวงมาลัยเพียงแค่สองวินาที จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เป็นสองเท่าตัว


เทคโนโลยีการรักษา "แผลที่เท้า" ของผู้ป่วย "เบาหวาน"

เทคโนโลยีการรักษา "แผลที่เท้า" ของผู้ป่วย "เบาหวาน"

แผลเบาหวานที่เท้า   (Diabetic Foot Ulcer)

  1. 85% ของผู้ป่วยเบาหวานที่ถูกตัดเท้ามีแผลบริเวณเท้ามาก่อน
  2. 40% - 70% ของโรคเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการถูกตัดขา/เท้า
  3. ทุกๆ 30 วินาทีมีผู้ป่วยเบาหวานสูญเสียเท้าจากการถูกตัดขา/เท้า
  4. 1 ใน 6 รายของผู้ป่วยเบาหวาน ต้องเคยมีบาดแผลอย่างน้อย 1 ครั้ง

โรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของการถูกตัดขาหรือเท้า ซึ่งการถูกตัดเท้าในผู้ป่วยเบาหวานส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมากเพราะ ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ทำให้อาจสูญเสียงานและอยู่ในสภาพที่ต้องการการฟื้นฟูในช่วงแรก ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
ซึ่งเทคโนโลยี การรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยแผลเบาหวานที่เท้า จะสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องตัดขาทิ้ง พร้อมทั้งให้ข้อมูลในการป้องกันและการดูแลผิวหนัง ให้เหมาะสำหรับผู้ป่วยในแต่ละบุคคล เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากแผลและลดโอกาสของการสูยเสียอวัยวะของผู้ป่วย ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยเป็นสำคัญ  โดยเทคโนโลยีการรักษาที่ใช้ ได้แก่
  1. Ultrasonic ( เทคโนโลยีการเลาะเนื้อเยื่อเล็ก )
                เครื่องมือที่จะช่วยการรักษาแผลเป็น โดยวิธีปล่อยคลื่นความถี่ต่ำไปบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ลักษณะการทำงานจะมีฟองก๊าซ ขนาดเล็กคล้ายโพรงอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันในเซลล์ การทำงานของคลื่นอัลตร้าโซนิกจะเพิ่มพลังงานจลน์ ของการเคลื่อนที่ของโมเลกุลภายในเซลล์  ส่งผลให้จำนวนของเชื้อแบคทีเรียและเนื้อเยื่อที่ตายแล้วบนแผลและไบโอฟิล์มก็จะถูกลบออกโดยไม่มีความเสียหายใดที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง
 Versajet Debridement ( การผ่าตัดด้วยน้ำ )
                นวัตกรรมโดยใช้เครื่องแรงดันน้ำโดยใช้เครื่องฉีดน้ำเกลือที่มีมีดโกน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่าตัด  ระบบนี้ช่วยให้สามารถเร่งการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อแบคทีเรียและสารปนเปื้อนที่ไม่สามารถกำจัดได้จากแผล การเผาไหม้และการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อน โดยใช้เทคนิคการรักษาเนื้อเยื่อ ซึ่งช่วยลดเวลาในการปิดบาดแผลลงและอาจลดต้นทุนการรักษาโดยรวมอาศัยหลักการชะล้างบาดแผล โดยไม่ก่อให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อแกรนูเลชั่น ( Granulation Tissue )
ข้อดี
- ลดจำนวนแบคทีเรียบริเวณบาดแผล
- คงไว้ซึ่งเนื้อเยื่อที่ดี
- กำจัดเนื้อเยื่อที่ตายหรือเซลล์ที่ตายแล้วทิ้งไป
- ส่งเสริมช่วยให้ผลของการผ่าตัดดีขึ้น
- เนื้อเยื่อที่ดีบริเวณใกล้เคียง โดนทำลายน้อยที่สุด
  1. Hyperbaric oxygen therapy ( HBOT )  ( เทคโนโลยีการบำบัดออกซิเจนเพื่อสุขภาพ )
                การบำบัดด้วยออกซิเจนในอากาศสูง เป็นการรักษาผู้ป่วยด้วยการหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ในขณะที่ผู้ป่วยเข้าไปอยู่ภายใต้สภาพความกดบรรยากาศสูงที่ 1 บรรยากาศ จากการศึกษาพบว่า HBO ช่วยในการรักษาแผลที่ดีขึ้น แผลที่หายสนิท ลดความเสี่ยงต่อการตัดแขนขา โรคที่เกิดอากาศอักเสบเรื้อรัง, รักษาแผลเรื้อรังจากการเป็นโรคเบาหวาน
ข้อดี 
  1. ลดความพิการ และ การสูญเสียอวัยวะ ช่วยให้บาดแผลเรื้อรังบริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่เกิดอาการขาดออกซิเจนหายเร็วขึ้น จึงลดระยะเวลาในการรักษา รวมถึงลดค่าใช้จ่าย ในการรักษา และนอกจากนี้ การทำ HBOT ยังช่วยเสริมออกซิเจนให้กับสมองทันที หรือเนื้อเยื่อ ที่เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ  ดังนั้นผู้ป่วยที่มาด้วยการลดความกดอากาศ แรงดันในห้องปรับบรรยากาศ HBO จะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนที่สะสมในร่างกาย ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดเพิ่มสูงขึ้นตามมา ส่งผลให้ออกซิเจน แพร่ออกจากเส้นเลือดฝอยได้ไกลสามารถไปเลี้ยงสมอง และร่างกายส่วนปลายได้เพียงพอ
  2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท เมื่อร่างกายสามารถได้รับออกซิเจนสูงกว่าการใช้ออกซิเจนตามปกติหลายเท่า จะสามารถช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  3. ช่วยสร้างคอลลาเจนและเส้นเลือดใหม่ ออกซิเจนบริสุทธิ์ทำให้เกิดการกระตุ้นสร้างเซลล์อ่อน และทำให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ รวมถึงการสร้างเส้นเลือดฝอยเพิ่มขึ้นในบริเวณที่ขาดเส้นเลือด ดังนั้นผู้ป่วยที่ต้องฉายแสงรังสี แล้วต้องทำการรักษาด้านทันตกรรม ( ฟันผุเนื่องจากได้รับรังสี ) จะช่วยให้แผลหายไวขึ้น เช่นเดียวกับแผลเบาหวาน

“เทคโนโลยีติดรถยนต์” ที่ฉันขาดเธอไม่ได้!

“เทคโนโลยีติดรถยนต์” ที่ฉันขาดเธอไม่ได้!

 นับวันเทคโนโลยีในรถยนต์ยิ่งพัฒนาเดินหน้าไปเรื่อยๆ ใครจะไปคิดว่าเทคโนโลยีบางอย่าง ซึ่งในช่วงเริ่มแรกเรามองเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่จำเป็น ที่สำคัญเป็นออฟชั่นที่แพงแสนแพง กลับกลายเป็นสิ่งที่คนใช้รถจะขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบัน ซึ่งไอ้เจ้าเทคโนโลยีที่ว่านี้มีอะไรบ้าง Tonkit360 รวบรวมมาฝากกัน

กระจกไฟฟ้า
102
     หากย้อนกลับไปในสมัยคุณพ่อการจะเปิดกระจกรถแต่ละครั้งจะต้องใช้พละกำลังจากแขนและมือด้านขวา วันดีคืนดีฟันเฟืองเกิดฝืดขึ้นมาจะเปิดกระจกแต่ละครั้งเล่นเอากล้ามขึ้นกันเลยทีเดียว ก่อนที่ปัจจุบันกระจกไฟฟ้าแทบจะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อที่ออกจากโรงงาน
     โดยในยุค 1 ปีแรกที่กระจกไฟฟ้าเข้ามาเป็นออฟชั่นสำหรับรถบนสายพานการผลิตในบ้านเรา ต้องยอมรับว่า ยังมีความไม่เสถียร บางคันใช้ไปได้ไม่ถึง 3 ปีกระจกไฟฟ้าเสียก็มีให้เห็น แต่ในยุคปัจจุบันมันคืออุปกรณ์มาพร้อมกับตัวรถที่เชื่อแน่ว่าหากคุณใช้รถในยุคนี้ย้อนกลับไปขับรถเวอร์ชั่น 20 ปีก่อน เชื่อแน่ว่าทำอะไรไม่ถูกแน่นอนหากคุณต้องขับรถที่เป็นกระจกหมุนมือ ผ่านด่านทางด่วน หรือรับบัตรเข้าห้างสรรพสินค้า

แบตเตอรี่แบบแห้ง
103
     ครั้งสมัยเด็กๆ เรามักจะเห็นคุณพ่อเปิดฝากระโปรงหน้าเติมน้ำกลั่นไปที่แบตเตอรี่ในทุกเช้าก่อนออกรถ ทว่าในยุคปัจจุบัน พฤติกรรมดังกล่าวแทบจะหายไปจากสารบบการดูแลรักษารถ เพราะคนส่วนใหญ่ซื้อรถมาใช้ ใช้ และใช้อย่างเดียว เพราะในยุคปัจจุบัน แบตเตอรี่ในรถส่วนใหญ่เป็นแบตแบบแห้งที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยเหมือนกับแบตในยุคก่อน ฉะนั้นแบตเตอรี่แบบแห้งถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ทำให้คนใช้รถยุคนี้วางใจไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเป็นเวลาหลายๆเดือน และเชื่อแน่ว่าร้อยทั้งร้อยไม่อยากที่จะกลับไปใช้แบตเตอรี่ชนิดที่ต้องคอยเติมน้ำกลั่นอยู่อีกครั้งแน่นอน

เซ็นเซอร์ถอยและกล้องมองหลัง
101
     คนใช้รถที่อายุ 35 ขึ้นไป ย่อมต้องเคยผ่านประสบการณ์ถอยรถด้วยความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ จากการกะระยะด้วยตัวเองและมองกระจกหลัง ทว่านับจากเทคโลโนยี เซ็นเซอร์ถอยและกล้องมองหลัง เปิดตัวครั้งแรกในปี 2002 เทคโนโลยีชิ้นนี้คือสิ่งที่ทำให้คนขับรถเคยตัว!
     โดยหากใครที่เคยใช้รถที่ไม่มีเซ็นเซอร์ถอยและกล้องมองหลัง และหันมาใช้รถที่ติดตั้งระบบเหล่านี้จนเคยชิน และวันหนึ่งจะต้องกลับไปขับรถที่ไม่มีอุปกรณ์ช่วยแล้วล่ะก็ ฟันธงได้เลยว่าคุณจะมีความไม่มั่นใจในการกะระยะ เนื่องจากกล้องและเซ็นเซอร์มันช่วยคุณเอาไว้จนเคยตัวนั่นเอง

กุญแจรถระบบ Keyless
105
     จากยุคที่รถยนต์ทุกคันต้องใช้กุญแจเสียบเพื่อเปิดประตูรถและสตาร์ทเครื่อง รวมไปถึงใช้ไขเปิดฝาถังน้ำมันเชื้อเพลง มาในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีเรื่องกุญแจพัฒนาไปไกลมากจริงๆ โดยเฉพาะระบบ Keyless ที่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กุญแจทั้งการสตาร์ท กระทั่งการกดรีโมทเพื่อเปิดรถ
     เนื่องจาก Keyless ในรถรุ่นใหม่ๆ เพียงแค่คุณพกมันไว้ในกระเป๋า แล้วใช้มือสัมผัสไปที่ที่จับเปิดประตู เซ็นทรัลล็อคก็จะทำการเปิดให้แบบอัตโนมัติ มันสะดวกมากมายกับคนที่ถือของพะรุงพะรังแล้วต้องรีบขึ้นรถ คุณไม่ต้องที่จะละมือลงไปล้วงกระเป๋าหากุญแจหรือรีโมทอีกต่อไป นี่แหละอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกให้คนใช้รถยุคนี้ตัวจริง

ระบบเบรก ABS
100
     นี่คือเทคโนโลยีเรื่องความปลอดภัย ซึ่งในความเป็นจริงเราอาจไม่ได้ใช้มันเลยก็เป็นได้ หรือบางคนเคยสัมผัสกับระบบนี้แต่ไม่รู้ว่ามันคือระบบเบรก ABS ที่ย่อมาจาก Anti-lock Brake System หรือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ล้อรถของคุณไม่ล็อกจนควบคุมทิศทางไม่ได้ในขณะที่เบรกแบบกะทันหันหรือประสบอุบัติเหตุ
     โดยในยุคก่อนหน้านี้ ระบบเบรก ABS ถือเป็นเพียงออฟชั่นของรถที่เพิ่มขึ้นมา แต่ในรถรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันล้วนมีการติดตั้งระบบนี้เป็นมาตรฐานจากโรงงานเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่า ความรู้สึกของคนใช้รถหากมีระบบนี้ติดตั้งกับรถของเรา มันก็ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยในชีวิตเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเราอาจไม่ได้ใช้มันก็ตาม

CES 2018 : แนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ ชี้นำอนาคต

CES 2018 : แนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ ชี้นำอนาคต

ก้าวเข้าสู่เดือนมกราคม ปี 2018 ประเดิมศักราชใหม่ด้วยงาน CES 2018 (Consumer Electronics Show) ที่จัดขึ้น ณ ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9 – 12 มกราคม 2018 งานใหญ่ที่รวบรวมเทคโนโลยีอันทันสมัย พร้อมเป็นตัวชี้นำให้เห็นถึงแนวโน้มของเทคโนโลยีที่คาดว่าจะขึ้นตลอดทั้งปีนี้
ก่อนที่งาน CES 2018 จะเริ่มขึ้น เรามีวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ทั้ง 8 อย่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ไปชมกันครับ
1.ชาร์จไร้สายแบบ Over-the-air
wattup-1024x684
สมาร์ทโฟนในปัจจุบันหลายรุ่นรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging) บ้างแล้ว แต่ข้อจำกัดของเทคโนโลยีในลักษณะนี้ยังต้องพึ่งพาแท่นชาร์จ แต่ความฝันของเทคโนโลยีนี้ต้องสามารถชาร์จแบบไร้สายได้อย่างแท้จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือ “การส่งพลังงานเพื่อชาร์จผ่านทางอากาศ” (Over-the-air)
ซึ่งบริษัทแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Energous ได้รับการอนุมัติจาก Federal Communications Commission คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ หรือ FCC สำหรับเครื่องส่งพลังงานไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระยะ 3 ฟุต ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, นาฬิกาอัจฉริยะ, คีย์บอร์ดไร้สาย เป็นต้น เป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีส่งพลังงานแบบไร้สายผ่านทางอากาศ นอกจากนี้ยังมีบริษัท Powercast ที่นำเสนอเครื่องส่งพลังงานสำหรับการชาร์จแบบไร้สายได้ไกลถึง 80 ฟุต
ซึ่งคาดว่าต้นแบบและการสาธิตเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้จะมีปรากฏให้เห็นในงาน CES 2018 นี้
2.ทีวีแบบ Micro-LED
ces-2018-tc
ปกติเรามักได้ยินแต่ทีวีแบบ LED แต่สำหรับงาน CES 2018 มีการคาดการณ์ว่า Samsung เตรียมเปิดตัวทีวีแบบใหม่ที่เรียกว่า Micro-LED ที่ใช้หลอดไฟ LED ขนาดเล็กกว่า 100 micrometers ให้ประโยชน์ต่อการผลิตแสงในตัวเอง พร้อมอัตราความคมชัดสูงและให้สีดำที่ดำสนิท นอกจากนี้ยังเป็นทีวีที่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำอีกด้วย
3.Smart home
ces-2018-smarthone
เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา อุปกรณ์ประเภทลำโพงอัจฉริยะสั่งงานด้วยเสียงได้ กลายเป็นเทรนด์ที่บริษัทด้านเทคโนโลยีให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก โดย Alexa จาก Amazon ถือเป็นอุปกรณ์ภายในบ้านที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีอีกหลายบริษัทก็ได้คิดค้นและพัฒนาอุปกรณ์ในลักษณะดังกล่าวออกมาชิงชัยกันอย่างคึกคัก
สำหรับในงาน CES 2018 อุปกรณ์อัจฉริยะประเภท Smart Home ที่สามารถรับคำสั่งเสียงและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในบ้านได้ จะมีความฉลาดและทันสมัยมากขึ้น และคาดว่าจะได้อุปกรณ์ใหม่ ๆ ในลักษณะเดียวกันนี้เปิดตัวเพิ่มมากขึ้น
4.อีกก้าวของ Augmented reality
ces-2018-ar
จากปรากฏการณ์ของเกม Pokemon GO ที่นำเสนอรูปแบบการเล่นเกมในลักษณะ Augmented reality หรือ AR จนกลายกระแสความนิยมไปทั่วโลก สร้างความคึกคักให้กับวงการ AR เป็นอย่างมาก และนั่นนำไปสู่การต่อยอดของการพัฒนา AR ร่วมกับเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้คนที่สามารถเข้าถึงโลกเสมือนจริงภายใต้โลกแห่งความเป็นจริงได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่หลายบริษัทจะนำเสนอเทคโนโลยี AR ใหม่ๆ ภายในงาน CES 2018 ได้แก่ Carl Zeiss, Occipital, Kinmo, Kodak, Royole และ Sony
5.สงครามในตลาด “โน้ตบุ๊ค” จะดุเดือดอีกครั้ง
ces-2018-laptop
ตลาดโน้ตบุ๊คที่ซบเซาไปหลายปี แต่คาดการณ์ว่าในงาน CES 2018 เราจะได้เห็นการแข่งขันของผู้ผลิตโน้ตบุ๊คกันอย่างดุเดือด ซึ่งโน้ตบุ๊คประเภทที่มีน้ำหนักเบา ประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การพกพา ดีไซน์สวยงาม สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวในฝั่งผู้ผลิตซีพียูสองค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Intel และ AMD จะยังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด และที่น่าจับตามอง คือ Qualcomm ที่เริ่มหันมาพัฒนาซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊คที่ใช้ Windows 10 S โดยมี ASUS กับ HP ได้สองพาร์ทเนอร์แรก
6.หุ่นยนต์
ces-2018-robot
อย่าหวาดวิตกครับว่าปีนี้เราจะมีหุ่นยนต์ประเภทเดียวกับในหนังอย่าง iRobot หรือ Terminator แต่หุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่คาดว่าจะถูกนำมาโชว์ในงาน CES 2018 จะเน้นไปในเชิงการเป็นผู้ช่วยให้กับผู้คน หรือเป็นผู้ช่วยในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งสิ่งที่จะพัฒนามากขึ้น คือ Artificial Intelligence หรือ A.I. เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนหุ่นยนต์ให้มีความสามารถในการโต้ตอบกับผู้คนได้มากขึ้น เข้าใจในภาษาพูด สามารถวิเคราะห์และให้คำแนะนำ หรือช่วยตัดสินใจให้กับผู้คนได้มากขึ้น
7.สมาร์ทโฟน
ces-2018-smarthone-01
แม้ตัวเลขการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนจะไม่พุ่งสูงมาก แต่การแข่งขันของผู้ผลิตจำนวนมากยังเป็นไปอย่างเข้มข้น งานออกแบบค่อนข้างเป็นไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกัน รวมไปถึงสเปคและประสิทธิภาพที่ให้ความคุ้มค่าเกินราคา ซึ่งในงาน CES 2018 คาดว่าจะมีผู้ผลิตบางรายใช้โอกาสนี้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ซึ่งงานออกแบบอย่างตัวเครื่องที่ทำขึ้นจากกระจก, สัดส่วนหน้าจอ 18:9, กล้องคู่, ตัด headphone jack ทิ้ง และกันน้ำได้ จะมีมากับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ตั้งแต่ต้นปี ส่วนจะมีค่ายไหนบ้างต้องรอติดตามครับ
8.Smart Car
ces-2018-smart-car
ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา ทิศทางของตลาดรถยนต์เริ่มพุ่งเป้าไปที่การพัฒนารถยนต์ส่วนบุคคลที่สามารถขับเคลื่อนเองได้อัตโนมัติ พร้อมระบบอัจฉริยะที่สามารถควบคุมและให้ความปลอดภัยกับคนนั่งได้ แถมช่วงปลายปีก็เริ่มมีค่ายรถยนต์บางรายเริ่มพัฒนารถโดยสารขนส่งสาธารณะแบบขับเคลื่อนเองอัตโนมัติบ้างแล้วเช่นกัน รวมไปถึงการพัฒนารถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า, ไนโตรเจน หรือพลังงานอื่นๆ ทดแทนการใช้น้ำมัน ซึ่งใน CES 2018 รถยนต์จะยังเป็นไฮไลท์สำคัญภายในงาน ส่วนจะมีการพัฒนาไปทิศทางไหน และจะเปลี่ยนมุมมองของรถยนต์แบบเดิม ๆ ไปอย่างไรบ้าง แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ

ไขปริศนาฟาโรห์ อียิปต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ค้นหาห้องลับในสุสานของ “ตุตันคามุน”

ไขปริศนาฟาโรห์ อียิปต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ค้นหาห้องลับในสุสานของ “ตุตันคามุน”

กระทรวงโบราณสถานแห่งอียิปต์ เปิดเผยว่า ทีมนักโบราณคดีกำลังเริ่มใช้เครื่องสแกนเรดาร์เพื่อตรวจสุสานของฟาโรห์ ตุตันคามุน กษัตริย์อียิปต์โบราณที่โด่งดังในหุบผากษัตริย์ หรือ Valley of the Kings ที่เมืองลัคซอร์ (Luxor) ทางใต้ของอียิปต์
กระทรวงโบราณสถานแห่งอียิปต์ชี้เเจงเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วว่า การสแกนสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน จะยาวนานนับสัปดาห์ เพื่อตรวจดูว่ามีห้องลับอยู่ด้านหลังของสุสานที่ฝังพระศพของพระองค์หรือไม่
ทางกระทรวงโบราณสถานแห่งอียิปต์เคยทำการสแกนสุสานเเห่งนี้มาเเล้วก่อนหน้าหลายครั้งเพื่อค้นหาคำตอบนี้ เเต่ผลการตรวจเท่าที่ผ่านมาไม่สามารถสรุปได้
สุสานของกษัตริย์ตุตันคามุนที่ปกครองอียิปต์เมื่อสามพันกว่าปีที่แล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1922 ในหุบผากษัตริย์ โดยตั้งอยู่ทางตะวันตกของริมฝั่งเเม่น้ำไนล์ในเมืองลัคซอร์
หลายคนมองว่าฟาโรห์ตุตันคามุนเเสดงถึงความรุ่งเรืองเเละมั่งคั่งของอียิปต์โบราณ เพราะสุสานของพระองค์เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า เพชรนิลจินดา เเละพระองค์ยังมีหน้ากากทองคำอีกด้วย เเสดงถึงความมั่งคั่งของราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 1569 ถึง 1315 ก่อนคริสตกาล

ในขณะเดียวกัน อียิปต์กำลังนำโบราณวัตถุที่ล้ำค่าของฟาโรห์ตุตันคามุน ที่เก็บรวบรวมเอาไว้ออกมาบูรณะเพื่อเตรียมนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปเชี่ยน (Grand Egyptian Museum) ในกิซา ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะเปิดทำการได้ปลายปีนี้ เร็วกว่าเดิม 4 ปี

มารีอามา ไดอาโล (Mariama Diallo) ผู้สื่อข่าววีโอเอรายงานจากอียิปต์ว่า โบราณวัตถุเหล่านี้รวมทั้งเครื่องฉลองพระองค์ เครื่องเรือนและของเล่น

โอสมา อบู อัลแคร์ (Osma Abou Al-Khair) ผู้อำนวยการศูนย์บูรณะโบราณวัตถุ กล่าวว่า หนึ่งในของเล่นของกษัตริย์อียิปต์โบราณพระองค์นี้ ได้แก่ ลูกข่างที่ใช้นิ้วจับหมุนเหมือนกับลูกข่างไม้ของคนในปัจจุบัน เวลาหมุนลูกข่าง ก็จะมองเห็นลวดลายที่มีสีสีนเพราะฐานของลูกข่างถูกระบายด้วยสีสันที่สดใส

โบราณวัตถุต่างๆ ที่ได้จากสุสานฝังพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนถูกค้นพบโดย ฮาเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีชาวอังกฤษในปี ค.ศ. 1922 และวัตถุส่วนมากทำจากทองคำ

ฮุสเซน คามาล (Hussain Kamal) ผู้จัดการทั่วไปด้านกิจการทางเทคนิคที่ศูนย์บูรณะโบราณวัตถุ กล่าวว่า สุสานของฟาโรห์ตุตันคามุนเป็นสุสานเพียงแห่งเดียวที่มีความสมบูรณ์ตอนที่ถูกค้นพบ และเต็มไปด้วยโบราณวัตถุมากมายหลากหลาย ตั้งแต่ของเล่น ผ้าโบราณและสารโบราณชนิดต่างๆ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อียิปต์โบราณก้าวหน้าอย่างมากด้านงานประดิษฐ์ งานฝีมือ และเทคโนโลยี 

จีนพาเหรดติด 100 อันดับธุรกิจเทคโนโลยีมูลค่าสูงสุดของโลก

จีนพาเหรดติด 100 อันดับธุรกิจเทคโนโลยีมูลค่าสูงสุดของโลก


บริษัทจีนมีชื่ออยู่ในการจัดอันดับ 100 บริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดในโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจของจีนภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
การจัดอันดับดังกล่าวที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 ม.ค. โดยหนังสือพิมพ์ 21st Century Business Herald พบว่า บริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนมีประสิทธิภาพดีขึ้น เพราะมีบริษัทที่ติดอยู่ในการจัดอันดับ 13 บริษัท และ 3 ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนอย่าง Baidu, Alibaba และ Tencent ล้วนถูกจัดอยู่ใน 35 อันดับแรก โดย Tencent ติดอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยมูลค่าตลาด 3.63 ล้านล้านหยวน (18.15 ล้านล้านบาท)
ส่วนบริษัทจีนรายใหญ่เจ้าอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ที่ติดอันดับด้วย ได้แก่
บริษัท HIKVISION ผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ด้านการบันทึกภาพจากกล้อง ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองหางโจว ติดอันดับที่ 40
บริษัท NetEase ผู้พัฒนาเกมชื่อดังติดอันดับที่ 49
บริษัท Sina Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีน อยู่ในอันดับที่ 71
ในขณะที่บริษัทเครือข่ายโทรคมนาคมอย่าง ZTE ติดอยู่ในอันดับที่ 100 พอดี ด้วยมูลค่าตลาด 139,000 ล้านหยวน (695,000 ล้านบาท)
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน มีเพียง 4 บริษัทของจีนเท่านั้นที่ติดอยู่ในรายชื่อ 100 บริษัท ได้แก่ Tencent, Baidu, ZTE และ FIH Mobile Limited ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Foxconn และทั้ง 4 เจ้านี้ล้วนติดอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่า 50 ทั้งสิ้น ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง Microsoft, Google, Cisco และ IBM ล้วนครองที่นั่งใน 10 อันดับแรกของโลก
ส่วนการจัดอันดับครั้งใหม่นี้ บริษัท Cisco และ IBM ล้วนหลุดจาก Top 10 ตกลงมาอยู่ที่อันดับที่ 14 และ 17 ตามลำดับ ในขณะที่แชมป์เก่าอย่าง Microsoft ถูก Apple ซึ่งมีมูลค่าตลาด 5.58 ล้านล้านหยวน (27.9 ล้านล้านบาท) แซงหน้าขึ้นแท่นเป็นแชมป์รายล่าสุดแทน
ทั้งนี้ การจัดอันดับดังกล่าว จัดทำขึ้นจากข้อมูลของตลาดหุ้นเกือบ 60 แห่ง และบริษัทเทคโนโลยีอีกกว่า 5,000 แห่งทั่วโลก

ข้อมูล :Xinhua
ภาพ :iStockPhoto

เปิดโฉม “เทคโนโลยีซักได้” เพื่อคนรักแฟชั่นและชอบผลิตภัณฑ์ไฮเทค

เปิดโฉม “เทคโนโลยีซักได้” เพื่อคนรักแฟชั่นและชอบผลิตภัณฑ์ไฮเทค

เทคโนโลยีที่สวมได้ หรือ wearable technology เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดน่าจะเป็น นาฬิกาสมาร์ทว็อทช์ ที่กลายเป็นสินค้าที่พบเห็นทั่วไปภายในเวลาไม่กี่ปี
ล่าสุด wearable technology กำลังเข้าสู่ยุคของการพัฒนาเสื้อผ้า ที่มีระบบปฏิบัติการเหมือนกับว่าเรากำลังสวมใส่คอมพิวเตอร์อยู่
โครงการหนึ่งที่สะท้อนถึงเทคโนโลยีล่าสุดนี้ คือความร่วมมือระหว่างบริษัท Google และบริษัทเสื้อผ้า Levi’s ของสหรัฐฯ
คุณไอวาน ปูพิเรพ (Ivan Poupyrev) จาก Google กล่าวว่า เสื้อแจคเก็ตที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยโครงการร่วมดังกล่าวสามารถส่งสัญญาณสั่น และสัญญาณแสง เตือนผู้สวมใส่เมื่อมีสายเรียกเข้า นอกจากนั้น เมื่อผู้ใส่เสื้อ ลูบไปที่ผ้าบริเวณปลายแขน ระบบสามารถบอกถึงเส้นทางการเดินทาง และเปิดเพลง เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้
เขากล่าวว่า การเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์กับเสื้อผ้าที่สวมใส่ทำให้ผู้ที่เดินทางไม่จำเป็นต้องละสายตาไปจากถนนที่อยู่ตรงหน้า
และเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า นักประดิษฐ์จึงเรียกนวัตกรรมเหล่านี้ว่าอยู่ในกลุ่ม washable technology หรือ “เทคโนโลยีซักได้”
ไอวาน ปูพิเรพ กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นจากการสร้างเส้นใยไฮเทค ด้วยความรู้วิศวกรรมชีวภาพที่ทำให้ใยไหม หรือหนังที่ใช้กับเสื้อผ้าซึ่งถูกสร้างการเซลยีสต์ทำงานร่วมกับการสั่งการโดยซอฟแวร์ได้
เทคโนโลยีที่ปฏิวัติแนวทางการสร้างวัสดุสำหรับการตัดเสื้อผ้ายังส่งผลถึงการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วย
ซะยูซี เพ็คชีแอน จากบริษัท BCG Ventures กล่าวว่า ผู้ออกแบบเสื้อผ้ามีเครื่องมือใหม่ๆ เหล่านี้ ที่ทำให้พวกเขาสร้างงานที่ไม่เคยได้ออกแบบมาก่อน
เธอกล่าวว่าเนื่องจากความซับซ้อนของนวัตกรรมใหม่ เช่น การทำแบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีสูตรคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้อง งานของดีไซเนอร์ยุคใหม่อาจต้องใช้ความรู้การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วย
นอกจากเทคโนโลยีในการออกแบบ วงการเสื้อผ้ายังต้องปรับตัวกับระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เรื่องการตลาดผ่านข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย
ซะยูซี เพ็คชีแอน กล่าวว่า ผู้กำหนดทิศทางแฟชั่น อาจไม่ใช่ดีไซเนอร์ที่มีความรู้ชั้นสูงด้านการออกแบบเสมอไป เพราะเทรนด์แฟชั่นในปัจจุบันถูกกำหนดโดยลูกค้าและใครก็ได้ที่สามารถแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์
และแผนการตลาดของผู้ขายเสื้อผ้าในปัจจุบัน ดึงข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ของผู้บริโภคมาใช้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอสินค้าที่ถูกใจผู้ที่เข้ามาดูของบนหน้าเว็บไซต์
คุณเพ็คชีแอน บอกว่าประสบการณ์ซื้อเสื้อผ้าออนไลน์ในปัจจุบัน นำเสนอสินค้าต่อลูกค้าตามรสนิยมของผู้ซื้อแต่ละคน จนทำให้บางครั้งรู้สึกว่า แบรนด์สินค้ารู้จักตัวตนของลูกค้าเป็นอย่างดี
ส่วนผู้ที่รู้สึกถูกใจกับ เสื้อแจคเก็ตอัจฉริยะของ Levi’s บริษัทตั้งราคาไว้ที่ตัวละ 350 ดอลลาร์หรือกว่า 10,000 บาท
ข้อมูล :รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของ Elizabeth Lee

อาการ "เสพติดโทรศัพท์มือถือ" ปัญหาใหญ่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล!

อาการ "เสพติดโทรศัพท์มือถือ" ปัญหาใหญ่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล!

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าในยุคสังคมก้มหน้าขณะนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารได้ตามติดตัวเราไปทุกที่ซึ่งทำให้เกิดความผูกพันถึงขั้นการติดโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์แท็บเลต หรืออุปกรณ์อื่นๆ นั้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่ชั่วโมงการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ไปจนถึงความวิตกกังวลและปัญหาซึมเศร้า
istock-505839618www.istockphoto.com

ผลการสำรวจหลายชิ้นทำให้พบว่า ตัวเลขของผู้ที่มีอาการติดเทคโนโลยีและตัดไม่ขาดจากอุปกรณ์มือถือนั้น มีอยู่ราว 1 - 6% และปัญหาดังกล่าวเริ่มเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Apple

รวมทั้งฝรั่งเศสเองก็ได้ออกมาตรการห้ามส่งอีเมลหลังเลิกงาน และกำลังออกกฎหมายห้ามนักเรียนนักศึกษาใช้โทรศัพท์มือถือในพื้นที่ของโรงเรียนด้วย

คุณ Tanya Goodin ผู้เขียนหนังสือชื่อ "Off: Your Digital Detox for a Better Life" กล่าวว่าขณะนี้เราได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า digital babysitting คือการที่พ่อแม่ผู้ปกครองยอมให้บุตรหลานของตนใช้อุปกรณ์มือถือเร็วกว่าสมัยก่อนมาก

อย่างไรก็ตาม เรื่องของการติดอุปกรณ์มือถืออย่างแยกไม่ออกนี้ จะกล่าวโทษเด็กวัยรุ่นหรือคนยุคเจนเนอเรชั่น Y ฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะผลการสำรวจของ Pew Research Center เมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า ขณะที่ราวสองในสามของพ่อแม่ผู้ปกครอง บ่นว่า เวลาที่ลูกหลานของตนใช้หรือติดโทรศัพท์มือถือนั้นมีมากเกินไป

แต่กว่าครึ่งของเด็กวัยรุ่นก็บอกเช่นกันว่า บ่อยครั้งที่พ่อแม่ดูจะสนใจให้เวลากับโทรศัพท์มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนอยากจะสนทนาหารือกับพ่อแม่เช่นกัน