วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

เปิดโฉม “เทคโนโลยีซักได้” เพื่อคนรักแฟชั่นและชอบผลิตภัณฑ์ไฮเทค

เปิดโฉม “เทคโนโลยีซักได้” เพื่อคนรักแฟชั่นและชอบผลิตภัณฑ์ไฮเทค

เทคโนโลยีที่สวมได้ หรือ wearable technology เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดน่าจะเป็น นาฬิกาสมาร์ทว็อทช์ ที่กลายเป็นสินค้าที่พบเห็นทั่วไปภายในเวลาไม่กี่ปี
ล่าสุด wearable technology กำลังเข้าสู่ยุคของการพัฒนาเสื้อผ้า ที่มีระบบปฏิบัติการเหมือนกับว่าเรากำลังสวมใส่คอมพิวเตอร์อยู่
โครงการหนึ่งที่สะท้อนถึงเทคโนโลยีล่าสุดนี้ คือความร่วมมือระหว่างบริษัท Google และบริษัทเสื้อผ้า Levi’s ของสหรัฐฯ
คุณไอวาน ปูพิเรพ (Ivan Poupyrev) จาก Google กล่าวว่า เสื้อแจคเก็ตที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยโครงการร่วมดังกล่าวสามารถส่งสัญญาณสั่น และสัญญาณแสง เตือนผู้สวมใส่เมื่อมีสายเรียกเข้า นอกจากนั้น เมื่อผู้ใส่เสื้อ ลูบไปที่ผ้าบริเวณปลายแขน ระบบสามารถบอกถึงเส้นทางการเดินทาง และเปิดเพลง เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้
เขากล่าวว่า การเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์กับเสื้อผ้าที่สวมใส่ทำให้ผู้ที่เดินทางไม่จำเป็นต้องละสายตาไปจากถนนที่อยู่ตรงหน้า
และเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า นักประดิษฐ์จึงเรียกนวัตกรรมเหล่านี้ว่าอยู่ในกลุ่ม washable technology หรือ “เทคโนโลยีซักได้”
ไอวาน ปูพิเรพ กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นจากการสร้างเส้นใยไฮเทค ด้วยความรู้วิศวกรรมชีวภาพที่ทำให้ใยไหม หรือหนังที่ใช้กับเสื้อผ้าซึ่งถูกสร้างการเซลยีสต์ทำงานร่วมกับการสั่งการโดยซอฟแวร์ได้
เทคโนโลยีที่ปฏิวัติแนวทางการสร้างวัสดุสำหรับการตัดเสื้อผ้ายังส่งผลถึงการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วย
ซะยูซี เพ็คชีแอน จากบริษัท BCG Ventures กล่าวว่า ผู้ออกแบบเสื้อผ้ามีเครื่องมือใหม่ๆ เหล่านี้ ที่ทำให้พวกเขาสร้างงานที่ไม่เคยได้ออกแบบมาก่อน
เธอกล่าวว่าเนื่องจากความซับซ้อนของนวัตกรรมใหม่ เช่น การทำแบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีสูตรคณิตศาสตร์มาเกี่ยวข้อง งานของดีไซเนอร์ยุคใหม่อาจต้องใช้ความรู้การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วย
นอกจากเทคโนโลยีในการออกแบบ วงการเสื้อผ้ายังต้องปรับตัวกับระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เรื่องการตลาดผ่านข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย
ซะยูซี เพ็คชีแอน กล่าวว่า ผู้กำหนดทิศทางแฟชั่น อาจไม่ใช่ดีไซเนอร์ที่มีความรู้ชั้นสูงด้านการออกแบบเสมอไป เพราะเทรนด์แฟชั่นในปัจจุบันถูกกำหนดโดยลูกค้าและใครก็ได้ที่สามารถแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์
และแผนการตลาดของผู้ขายเสื้อผ้าในปัจจุบัน ดึงข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ของผู้บริโภคมาใช้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอสินค้าที่ถูกใจผู้ที่เข้ามาดูของบนหน้าเว็บไซต์
คุณเพ็คชีแอน บอกว่าประสบการณ์ซื้อเสื้อผ้าออนไลน์ในปัจจุบัน นำเสนอสินค้าต่อลูกค้าตามรสนิยมของผู้ซื้อแต่ละคน จนทำให้บางครั้งรู้สึกว่า แบรนด์สินค้ารู้จักตัวตนของลูกค้าเป็นอย่างดี
ส่วนผู้ที่รู้สึกถูกใจกับ เสื้อแจคเก็ตอัจฉริยะของ Levi’s บริษัทตั้งราคาไว้ที่ตัวละ 350 ดอลลาร์หรือกว่า 10,000 บาท
ข้อมูล :รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของ Elizabeth Lee

อาการ "เสพติดโทรศัพท์มือถือ" ปัญหาใหญ่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล!

อาการ "เสพติดโทรศัพท์มือถือ" ปัญหาใหญ่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล!

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าในยุคสังคมก้มหน้าขณะนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารได้ตามติดตัวเราไปทุกที่ซึ่งทำให้เกิดความผูกพันถึงขั้นการติดโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์แท็บเลต หรืออุปกรณ์อื่นๆ นั้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่ชั่วโมงการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ไปจนถึงความวิตกกังวลและปัญหาซึมเศร้า
istock-505839618www.istockphoto.com

ผลการสำรวจหลายชิ้นทำให้พบว่า ตัวเลขของผู้ที่มีอาการติดเทคโนโลยีและตัดไม่ขาดจากอุปกรณ์มือถือนั้น มีอยู่ราว 1 - 6% และปัญหาดังกล่าวเริ่มเป็นที่สนใจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Apple

รวมทั้งฝรั่งเศสเองก็ได้ออกมาตรการห้ามส่งอีเมลหลังเลิกงาน และกำลังออกกฎหมายห้ามนักเรียนนักศึกษาใช้โทรศัพท์มือถือในพื้นที่ของโรงเรียนด้วย

คุณ Tanya Goodin ผู้เขียนหนังสือชื่อ "Off: Your Digital Detox for a Better Life" กล่าวว่าขณะนี้เราได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า digital babysitting คือการที่พ่อแม่ผู้ปกครองยอมให้บุตรหลานของตนใช้อุปกรณ์มือถือเร็วกว่าสมัยก่อนมาก

อย่างไรก็ตาม เรื่องของการติดอุปกรณ์มือถืออย่างแยกไม่ออกนี้ จะกล่าวโทษเด็กวัยรุ่นหรือคนยุคเจนเนอเรชั่น Y ฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะผลการสำรวจของ Pew Research Center เมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า ขณะที่ราวสองในสามของพ่อแม่ผู้ปกครอง บ่นว่า เวลาที่ลูกหลานของตนใช้หรือติดโทรศัพท์มือถือนั้นมีมากเกินไป

แต่กว่าครึ่งของเด็กวัยรุ่นก็บอกเช่นกันว่า บ่อยครั้งที่พ่อแม่ดูจะสนใจให้เวลากับโทรศัพท์มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนอยากจะสนทนาหารือกับพ่อแม่เช่นกัน

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Samsung Galaxy S10 จะย้ายตัวสแกนลายนิ้วมือมาไว้บนจอแสดงผล และมีระบบจดจำใบหน้า


มีรายงานข่าวมาจาก The Bell สื่อชื่อดังของเกาหลีว่า เรือธงรุ่นใหม่ของ Samsung อย่าง Galaxy S10 นั้น จะมีตัวสแกนลายนิ้วมืออยู่บนหน้าจอแสดงผล (In-display fingerprint) รวมทั้งระบบจดจำใบหน้า (3D Facial recognition)
ด้วยเหตุที่ว่า บริษัท Samsung ไม่ได้มีการติดต่อกับซัพพลายเออร์ในการจัดหาเครื่องสแกนม่านตา (Iris scanners) จึงทำให้เข้าใจได้ว่า Samsung จะนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้บน Galaxy S10 แทน โดยร่วมมือกับ Mantis Vision ในการพัฒนาอัลกอริทึมสำหรับการจดจำใบหน้าแบบ 3 มิติ
ก็เป็นอะไรที่สอดคล้องกันดี กับกรณีที่ Apple ได้เปิดตัวระบบดังกล่าวไปในปีที่ผ่านมาบน iPhone X ซึ่ง Samsung เองก็คงต้องรีบตาม Apple ให้ทันในจุดนี้
ขณะที่เครื่องสแกนลายนิ้วมือเอง ก็จะมีการย้ายจากจุดเดิมที่อยู่ตรงบริเวณด้านหลังตัวเครื่อง มาไว้บนหน้าจอแสดงผลแทน ซึ่งมันจะทำให้การปลดล็อกมือถือทำได้สะดวกกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะผู้ใช้ที่มือเล็กหรือถนัดซ้าย การต้องสแกนนิ้วมือจากด้านหลังตัวเครื่องมันช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่า Samsung Galaxy S10 นั้นจะมีหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ส่วนใน Galaxy S10 Plus จะอยู่ที่ 6.2 นิ้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับขนาดของ S9 และ S9 Plus ในปัจจุบัน
ในขณะที่บางสื่อกลับบอกว่า Galaxy S10 นั้นจะแบ่งเป็น 3 โมเดล คือ ขนาด 5.8 นิ้ว 2 รุ่น และขนาด 6.2 นิ้ว อีก 1 รุ่น โดยแต่ละโมเดลจะแตกต่างกันที่จำนวนกล้องหลัง ซึ่งจะมีตั้งแต่ 1 และ 2 ตัว ในรุ่นขนาด 5.8 นิ้ว และกล้อง 3 ตัว ในรุ่นขนาด 6.2 นิ้ว (ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ)
ที่มา โลกไอที

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

นักอนาคตศาสตร์เชื่อ ใน 30 ปี เทคโนโลยีจะช่วยให้คนมีชีวิต “อมตะ”




เชื่อกันว่าภายใน ทศวรรษ เทคโนโลยีล้ำสมัยจะช่วยให้คนที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2513 มีชีวิต อมตะ
ความคิดนี้มาจากการคาดคะเนของดร. Ian Pearson นักอนาคตศาสตร์ (futurologist) ระดับแนวหน้า “ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีเชื่อได้ว่าคนที่มีชีวิตอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2593 อาจมีชีวิตที่เป็นอมตะ”
ดร. Pearson อ้างถึงเทคโนโลยีหลายอย่างที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ ซึ่งรวมถึงพันธุวิศวกรรมที่จะช่วยคืนความเป็นหนุ่มสาวให้กับเซลล์ในร่างกายและไบโอเทคโนโลยีที่จะช่วยสร้างอวัยวะใหม่ขึ้นมาทดแทนอวัยวะที่เสื่อมสภาพไป “ไม่มีใครอยากเป็นอมตะในสภาพของคนอายุ 80-90 หรอก ถ้าทำได้ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองเหมือนเมื่อตอนอายุ 20-30 ด้วยกันทั้งนั้น”
ดร. Pearson ยังมองว่าชีวิตที่ไม่มีวันตายอาจไม่ได้หมายถึงการยึดติดกับร่างกายเดิม “ถ้าอุปสรรคของชีวิตอมตะคือร่างกายที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ต่อไปอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถอัปโหลดจิตสำนึกไปเก็บไว้ใน “clound” จากนั้นก็ดาวน์โหลดใส่แอนดรอยด์หรือหุ่นยนต์เหมือนคนแบบไหนที่ไหนก็ได้ทั่วโลก หมายความว่าแม้สังขารจะร่วงโรยไปแต่จิตสำนึกของเราจะยังคงอยู่ตลอดไป “ถึงตอนนั้นคุณอาจเลือกหุ่นยนต์ที่ดูอายุเท่าไหร่ก็ได้ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้”
ดร. Pearson เชื่อว่าเทคโนโลยีทั้งหลายทั้งปวงเพื่อชีวิตที่เป็นอมตะนี้เกิดได้ภายในปี 2593 หรืออีกประมาณ 30 ปี “ถ้าคุณเกิดหลังปี 2513 ปีนี้คุณอายุ 48 คนที่อายุไม่ถึง 50 ถือว่ายังมีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีนี้ หรือก็คือมีโอกาสจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ ส่วนคนที่ตอนนี้ยังอายุไม่ถึง 40 คุณได้รับโอกาสนั้นแน่นอน” ในช่วงแรกค่าใช้จ่ายจะต้องสูงมากแน่ ๆ ซึ่งจะมีเพียงมหาเศรษฐีเท่านั้นที่เอื้อมถึง แต่ให้หลังประมาณ 10 ปี ชนชั้นกลางทั่วไปก็น่าจะเข้าถึงได้

ที่มาsanook

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ที่มา www.beartai.com

Instagram เตรียมปล่อยฟีเจอร์ใหม่โพสต์คลิปวิดีโอได้ยาวถึง 60 นาที!



สำนักข่าว Wall Street Journal รายงานว่า Instagram มีแผนที่จะเพิ่มคุณสมบัติใหม่คือผู้ใช้สามารถอัปโหลดคลิปวิดีโอได้ยาวนานขึ้นเป็น 1 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการโฟกัสไปที่คอนเทนต์วิดีโอมากขึ้นในรูปแบบเดียวกับแพลตฟอร์มอย่าง YouTube หรือแม้แต่บน Facebook เอง
ที่น่าสนใจก็คือ Instagram มีฐานผู้ใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น โดยปัจจุบันมีสถิติของ active user สูงถึง 800,000 บัญชีต่อวัน เพิ่มขึ้นจากในเดือนพฤศจิกายนที่ในเวลานั้นมี active user ที่ 300,000 บัญชี นั่นทำให้แพลตฟอร์มดังกล่าวกลายเป็นทางหนึ่งในทางเลือกใหม่ในอนาคตของบรรดาครีเอเตอร์หรือผู้ผลิตคอนเทนต์เช่นกัน
สำหรับปัจจุบัน Instagram สามารถอัปโหลดคลิปวิดีโอใน Stories ได้สูงสุด 15 วินาที ขณะที่วิดีโอบนหน้าฟีดนั้นสามารถอัปโหลดได้ยาวสุด 1 นาที ซึ่งหากมีการเพิ่มศักยภาพให้อัปโหลดวิดีโอได้ถึง 1 ชม. จริงตามข่าวก็ถือว่าไอจีจะกลายเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอที่น่าสนใจมากอีกแพลตฟอร์มหนึ่งไม่แพ้ YouTube เลย

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ที่มา www.beartai.com

ผลสำรวจล่าสุดเผยเด็กวัยรุ่นไม่นิยมเล่น Facebook แล้ว

ถือเป็นข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยเมื่อมีผลสำรวจจาก Pew Research Center เปิดเผยว่า กลุ่มวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกา เล่น Facebook กันน้อยลงเหลือเพียง 51% ซึ่งถือว่าลดลงจากปี 2015 ถึง 20% โดยหันไปหา YouTube, Instagram และ Snapchat ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยทีนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวได้ทำการเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 13-17 ปี ในสหรัฐอเมริกาจำนวนกว่า 750 คนที่มีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง ซึ่งปรากฏว่า YouTube ได้รับความนิยมจากเด็กในวัยนี้สูงสุดมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 85% ตามด้วย Instagram และ Snapchat ที่ 72% และ 69%
นอกจากนี้ยังมีการสรุปแนวโน้มที่น่าสนใจจากการวิเคราะห์ผลสำรวจออกมาว่า รายได้และคุณภาพชีวิตของกลุ่มวัยรุ่นมีความเชื่อมโยงกับการเลือกใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นในอเมริกาที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะใช้ Facebook มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นที่มีรายได้สูง เป็นต้น